ถัดจากนี่ก็จะมีสปอยล์นะครับ ไม่อยากทราบข้ามได้ครับ เอาเป็นว่าขอสรุปสำนวนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไว้ว่า นี่คือหนังดราม่าสะท้อนความเหงาที่ทำได้ออกรสมากเรื่องหนึ่งครับ ก็อยากให้คอหนังดราม่าแนวนี้ได้ลองลิ้มกัน เชื่อว่าหลายท่านน่าจะถูกใจครับ (แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ใชทุกท่านหรอกครับที่จะถูกใจ)
เอาล่ะครับ จะเข้าเขตสปอยล์ละนะครับ แต่จริงๆ ผมว่ามันไม่เชิงสปอยล์หรอก มันเป็นแนวคิดสำคัญของเรื่องราว เพียงแต่ถ้าใครอยากไปรับรู้เอง ก็ข้ามไปได้ครับ
ฉากคืนสุดท้ายที่พวกเขาได้คุยกัน ตอนที่เดวิดพูด มันทำให้ผมรู้สึกอยากโอบกอดตนเองยังไงก็ไม่รู้
เดวิด (ฟอส) ได้เล่าความรู้สึกให้เดวิด (ลิป) ฟังในคืนสุดท้ายแห่งการสัมภาษณ์ หลังจากเกิดความไม่เข้าใจกันก่อนหน้านั้น
เดวิด (ฟอส) บอกว่า ในจุดที่เราเผชิญกับวิกฤติทางจิตวิญญาณนั้น เราจะรู้ว่ากฎกติกาต่างๆ ที่เราเติบโตมากับมัน ล้วนไม่จริง… มันช่วยเราไม่ได้เสมอไปหรอก
และเมื่อเราตระหนักได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยม่านแห่งภาพลวงตา สิ่งที่เยี่ยมที่สุดของมัน คือการที่เราได้ตื่นรู้ และเห็นว่ามันมีภาพลวงตาอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้
แต่สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ… เราทำอะไรไม่ได้เลย… เรายังต้องอยู่ท่ามกลางโลกที่เจือด้วยความจริงและสิ่งลวงตา คนมากมายที่อยู่รอบตัวและสังคมของเราส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น (จึงยากที่จะเข้าใจสิ่งที่เราคิด) หรือคนที่เห็นแล้วทำเป็นไม่เห็นภาพลวงตาทั้งหลายนั่นก็มีเหมือนกัน…
พอฟังแล้วรู้สึกถึงอารมณ์ของเดวิด ฟอสเตอร์เลยครับ มันเป็นอะไรที่ยากจะกล่าว และมันไม่แปลกเลยหากคนที่รู้สึกแบบนี้จะรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เพราะสิ่งที่เราเข้าใจนั้นมันอาจเป็นอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ หรือคนอื่นพยายามที่จะไม่เข้าใจ สุดท้ายเราก็ไม่สามารถเอาเรื่องนี้ไปสนทนากับใครได้ ทีนี้มันก็ย่อมเกิดความอัดอั้น
และหากเราไม่พยายามปรับตัวให้เหมาะสม สุดท้ายเราเองนั่นแหละที่จะจมอยู่กับสภาวะเคว้งนั้น เราจะหมกมุ่นอยู่กับมัน และมันก็จะส่งผลต่อชีวิต ต่อความคิด ต่ออารมณ์ และต่อความรู้สึกของเรามากขึ้นๆ
อยากรู้เหลือเกินว่านาทีที่เดวิด ฟอสเตอร์ปลิดชีวิตตนเองลงนั้น อะไรคือสิ่งที่เขาคิด อะไรคือสิ่งทำให้เขาตัดสินใจทำมันลงไป
หนังเรื่องนี้ชวนให้เราสำรวจความคิดของคนและความเป็นไปของโลกได้อย่างน่าสนใจครับ จริงๆ มันลึกซึ้งนะ ลึกซึ้งในแง่ความหมายของเรื่องราว ลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่เดวิด (ฟอส) คิด มันคือมุมของคนที่มองโลกจากด้านนอก ประหนึ่งว่าเดวิดเป็นคนนอกน่ะครับ แล้วก็มองสิ่งที่มันเป็นจากวงนอกนั้น
แต่ผมก็ไม่แปลกใจหากจะมีใครมองว่าการคิดของชายคนนี้ เป็นอะไรที่ดูเพ้อ คิดมากไป หรือมองว่าไร้ประโยชน์ที่จะคิด
ผมชอบเช้าวันสุดท้ายที่ 2 เดวิดได้อยู่ด้วยกันนะครับ มันเหมือนพวกเขาเข้าใจกันมากขึ้น และต่างคนต่างก็มองโลกใบเดียวกันจากมุมที่คล้ายคลึงกัน เพราะก่อนหน้านี้ เดวิด (ลิป) ก็ยังไม่เข้าใจเดวิด (ฟอส) เท่าที่ควร แต่พอผ่านอะไรมาด้วยกัน และได้ฟังเดวิด (ฟอส) ระบายความคิดให้ฟังแล้ว เขาก็เริ่มเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรอยู่ในหัวกันแน่
เมื่อผมเขียนถึงตรงนี้ ผมนึกถึงคนมากมายที่อาจคล้ายเดวิด ฟอสเตอร์ เป็นคนที่มีความคิดบางอย่างที่อาจจะต่างจากคนอื่น มีมุมมองที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ และพอเราแตกต่างจากคนอื่นมากๆ เข้า เราอาจรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา หรืออาจรู้สึกว่าตนด้อยค่า
ผมอยากบอกว่า เรามีคุณค่าเสมอครับ เพียงแต่บริบทในโลกมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราเป็นมันอาจจะยังไม่มีค่าเท่าไรในบริบทสังคมปัจจุบัน แต่สักวันหนึ่งสิ่งที่เราคิด มันอาจมีคุณค่าต่อสังคมหรือต่อโลกขึ้นมาก็ได้
ดังนั้นอย่าปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นทำให้เราแปลกแยกจากโลกครับ ผมอยากให้ลองผสานมันให้เหมาะ นั่นคือเราสามารถคิดแบบที่เราคิดต่อไปได้ เราสามารถมองโลกแบบที่เรามองต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ศึกษาแง่มุมอื่นๆ ควบคู่กันไป มองให้ได้หลายมุม คิดให้ได้หลายแนว
อย่าให้มุมมองใดมุมมองหนึ่งกักเราไว้ครับ เพราะถ้าเราโดนมันกักไว้นานๆ เข้า เราอาจรู้สึกแย่ รู้สึกเหงา รู้สึกไม่อยากจะอยู่ต่อไป… มันคงน่าเสียดายหากเราเลือกที่จะจากไป ทั้งที่สักวันหนึ่ง สิ่งที่เราคิดที่มันไม่เหมือนใครนั้่น อาจก่อให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา หรืออาจจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง
อย่างน้อยเราประคองตนเองให้อยู่ได้ต่อไป เพื่อที่สักวันเราอาจจะเจอคนที่คิดแบบเดียวกับเรา เมื่อนั้นเราจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน และพยุงจิตใจของกันและกันได้ต่อไป
แด่เพื่อนมนุษย์ทุกท่านที่ไม่เคยเหมือนกันครับ
The post รีวิว The End of the Tour (2015) (แบบมีสปอยล์) appeared first on .